ลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือ
กับ แรบบิท ไฟแนนซ์
ลงทะเบียนซิมโทรศัพท์ออนไลน์
ง่าย แค่ปลายนิ้ว คลิก!
ข้อมูลส่วนตัวของท่านปลอดภัยแน่นอน
ขอบคุณสำหรับการติดตามเรา
เงื่อนไขการรับส่วนลดเป็นไปตามที่ rabbit finance กำหนด
ข้อมูลส่วนตัวของท่านปลอดภัยแน่นอน
สำหรับปี 2018 นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่มี สมาร์ทโฟน น่าจับตามองกำลังทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับขาช้อปหรือ คนที่อยากสัมผัสเทคโนโลยีใหม่ๆ คงต้องมาดูกันหน่อยแล้วล่ะว่า สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง ของแต่ละค่าย มีรุ่นอะไรกันบ้าง
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2018
Nokia 9 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นต่อไปของ HMD Global ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอัปเกรดกล้องหลังที่ใช้เลนส์ Zeiss
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
อย่างที่ทราบกันดีว่า Huawei เน้นการพัฒนาด้านกล้องร่วมกับ Leica และชิปเซ็ตที่รองรับการทำงานร่วมกับ AI จึงทำให้เป็นที่น่าสนใจว่า ตระกูล P และ Mate รุ่นต่อไปจะได้รับการพัฒนาไปในรูปแบบใด
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงซัมเมอร์ปี 2018
Moto Z3 Force ที่จะเปิดตัวในปี 2018 ก็คาดว่าจะมีบอดี้ที่แข็งแรงมากขึ้น , หน้าจอแบบ ShatterShield และโมดูลเสริมเจ๋งๆ อีกมากมาย
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงซัมเมอร์ปี 2018
Essential Phone 2 คือ ผลงานการออกแบบของ แอนดี รูบิน ผู้ให้กำเนิดระบบปฏิบัติการ Android โดยเน้นความพรีเมียม , ระบบปฏิบัติการที่สะอาดและ กล้องระดับสุดยอด
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2018
สำหรับ U12 ในปี 2018 ก็คาดว่าจะมีหน้าจอแบบไร้ขอบ และอินเทอร์เฟซ Sense UI ที่พัฒนามากขึ้นกว่าเดิม
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
LG ประสบความสำเร็จอย่างมากกับ V30 ที่ตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับ LG และสำหรับในปี 2018 ก็คาดว่าจะมีรุ่นเล็กอย่าง G7 ที่จะเปิดตัวก่อน และรุ่นพรีเมียมอย่าง V40 ก็จะเปิดตัวในช่วงครี่งหลังของปี 2018
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงซัมเมอร์ปี 2018
OnePlus ประสบความสำเร็จอีกครั้งกับ OnePlus 5 และ 5T ด้วยสเปคระดับพรีเมียม แต่ราคาถูกมาก และในปี 2018 ก็คาดว่า OnePlus 6 และ 6T จะได้รับการพัฒนากล้องหลังให้ดีมากยิ่งขึ้น
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
Pixel ปี 2018 คาดว่าจะมีการพัฒนาด้าน AI , แบตเตอรี่ และกล้องให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
Samsung ในปี 2018 คาดว่าจะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือภายในหน้าจอของ Galaxy S9 และ S9+ เป็นรุ่นแรก
คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
ในปี 2018 มีข่าวลือว่า Apple จะออกรุ่น iPhone Xs รวมถึง iPhone 8s และ 8s Plus ที่มีดีไซน์เหมือนกับ iPhone X
ปีใหม่แล้ว มีใครไปสอยโทรศัพท์ใหม่กันมาบ้างหรือยัง ก็แหม ปีใหม่ทั้งที ก็ต้องมีของใหม่บ้างอะไรบ้าง อีกทั้ง ในปี 2018 นี้ ยังมีโทรศัพท์ออกมาใหม่มากมายหลายรุ่น ประชันความหรูหรา และความเจ๋งกันแบบสุดๆ
ซึ่งแน่นอนว่าเราคงอดใจไม่ไหว ไม่นานก็ต้องไปจัด โทรศัพท์รุ่นใหม่ราคาแพง มาเป็นเจ้าของกันคนละเครื่องสองเครื่อง ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่เราจะใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ได้นั้นก็ต้อง ทำการลงทะเบียนซิมการ์ด
ดังนั้น วันนี้ rabbit finance จะพาเพื่อนๆ ไปดูกันว่า การลงทะเบียนซิมการ์ดมีกี่แบบ และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
การลงทะเบียนซิมการ์ด สามารถทำได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
คุณสามารถลงทะเบียนซิมการ์ดได้ทั้งซิมใหม่ และซิมเก่า ที่ศูนย์บริการเครือข่ายใกล้บ้าน หรือ ณ จุดจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์สองแชะ
โดยคุณจะต้องแสดง บัตรประจำตัวประชาชน หรือหากคุณซื้อซิมใหม่ และขอลงทะเบียนซิมเลยทันที คุณก็จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลยค่ะ
ในกรณีนี้คุณจะสามารถลงทะเบียนได้ที่ศูนย์บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายของคุณเท่านั้น ซึ่งคุณจะต้องนำเอกสาร 4 อย่างนี้ไปด้วย
1. หนังสือมอบอำนาจ
2. บัตรประชาชนตัวจริงของผู้มอบอำนาจ หรือ Passport ตัวจริงของผู้มอบอำนาจ ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ / บัตรประจำตัว แรงงานต่างด้าว ของผู้มอบอำนาจ หรือเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์
3. บัตรประชาชนตัวจริงของผู้รับมอบอำนาจ หรือ Passport ตัวจริงของผู้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ / บัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าวของผู้รับมอบอำนาจ
4. เครื่องโทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมของผู้มอบอำนาจ
ขั้นตอนการลงทะเบียนซิมด้วย App สองแชะ มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. เลือกผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่คุณต้องการลงทะเบียนซิม
2. กรอก Username และ Password
3. คุณต้องเลือกว่าต้องการ “ลงทะเบียนซิมเก่าที่ใช้มาก่อน” หรือ “ลงทะเบียนซิมที่เปิดใช้งานใหม่” ซึ่งสำหรับการลทะเบียนซิมเก่าที่ใช้มาก่อน ก็จะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป ให้คุณทำตามคำสั่งที่ระบบให้มา
4. ถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนให้อยู่ในกรอบสีแดง
5. กรอกเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์
ง่าย และสะดวกสบายใช่ไหมล่ะ ซึ่งเพียงเท่านี้ ซิมในระบบของเพื่อนๆ ก็ลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าถูกตัดสัญญาณอีกต่อไปค่ะ
อย่างที่ทราบกันดีว่าการใช้สมาร์ทโฟนมีความเสี่ยงเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากตัวโทรศัพท์เอง หรือเป็นความเสี่ยงจากผู้ไม่หวังดี
เพราะฉะนั้น วันนี้ rabbit finance จึงได้รวบรวม ความเสี่ยงของการใช้สมาร์ทโฟน มาให้อ่านกัน เพื่อให้ทุกคนเฝ้าระวังกันตั้งแต่เนิ่นๆ
ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุแล้ว ก็จะรวมได้ถึงความเสียหายจากภัยจากธรรมชาติ และความประมาทของตัวผู้ใช้เอง อาทิเช่น การทำโทรศัพท์ตกน้ำ การทำหน้าจอแตก การหลงๆ ลืมๆ วางโทรศัพท์ทิ้งไว้ จึงหายแบบไม่รู้ตัว
ในกรณีนี้ เรียกได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า โทรศัพท์มือถือของเราจะพังเมื่อไหร่ หรือจะมีปัญหาตรงไหน อะไรยังไงบ้าง อย่างเช่น มือถือระเบิด เครื่องรวน เครื่องค้าง หรือจอดับ เป็นต้น
ก็แหม โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมานั้น มันมีดีไซน์ที่เฉียบ เท่ ซะเหลือเกิน ที่สำคัญราคาแต่ละเครื่องก็แพงหลายหมื่น และนี่คือสิ่งที่ทำให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นเป้าหมายของเหล่าหัวขโมยอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้น การทำประกันโทรศัพท์ และแท็บเล็ตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งการทำประกันโทรศัพท์ จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท หลักๆ ดังนี้
เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า เมื่อเราตัดสินใจซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่กับร้านใดร้านหนึ่ง เราก็จะได้รับสิทธิความคุ้มครองสมาร์ทโฟนจากทางร้านมาเป็นของแถมเสมอ
โดยส่วนใหญ่ทางร้านจะให้ความคุ้มครองประมาน 1 - 2 สัปดาห์เท่านั้น โดยทางร้านจะรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของโทรศัพท์ที่ซื้อมาจากร้านของตนเองเท่านั้น ซึ่งตัวอย่างปัญหาที่เกิดกับตัวเครื่องสมาร์ทโฟนที่ร้านรับผิดชอบ มีดังต่อไปนี้
1. ตัวเครื่องเปิดไม่ติด
2. เลนซ์กล้องมีปัญหา
3. หน้าจอแสดงผลผิดพลาด
4. รวมถึงกรณีอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากตัวผู้ใช้ หรืออุบัติเหตุ
แต่ถึงอย่างไรคุณก็อย่าลืมนะคะว่าประกันที่ได้รับจากทางร้าน ครอบคลุมระยะเวลาที่น้อยมากๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการรับมือความเสี่ยงระยะยาวอย่างแน่นอน
ประกันโทรศัพท์ โดยศูนย์บริการ ก็คือ ประกันที่ให้ความคุ้มครองโดยค่ายมือถือนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วค่ายมือถือจะมอบความคุ้มครองในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากโทรศัพท์มีความผิดปกติในระยะเวลาเอาประกัน ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถใช้สิทธิในการส่งซ่อมโทรศัพท์มือถือ หรือหากมือถือมีปัญหาที่ตัวเครื่องก็สามารถ เคลมสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ได้ฟรีๆ
แต่ถ้าหากผู้ใช้งานทำให้สมาร์ทโฟนเสียหาย หรือเป็นความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดจากผู้ซื้อ กรณีนี้ลูกค้าก็สามารถส่งซ่อมโทรศัพท์มือถือกับทางศูนย์บริการได้ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนอีกด้วย
อย่างที่ได้บอกไปว่า การใช้โทรศัพท์นั้นเราต้องพบเจอกับความเสี่ยงแทบจะตลอดเวลา และการประกันโทรศัพท์ทั้ง 2 ประเภทข้างต้น ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาการรับประกัน
เพราะฉะนั้น ประกันสมาร์ทโฟน จากบริษัทประกันภัยต่างๆ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากประกันโทรศัพท์นี้ให้ความคุ้มครองที่หลากหลายครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์หาย หน้าจอแตก หรือโทรศัพท์ตกน้ำ
เพื่อนๆ คงทราบกันแล้วว่าทำไมเราถึงควรทำประกันโทรศัพท์ และประกันโทรศัพท์มีกี่ประเภท ดังนั้น เรามาดูกันต่อเลยว่า ประกันโทรศัพท์ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง
โดยส่วนใหญ่ ประกันโทรศัพท์จะให้ความคุ้มครองมือถือ ที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติแทบทุกกรณีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเกิดไฟไหม้ น้ำท่วม ลมพายุ แผ่นดินไหว หรือกรณีอื่นๆ ที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์นั้นๆ
และหากมือถือของคุณโดนภัยพิบัติเล่นงาน คุณก็สามารถแจ้งเคลมโทรศัพท์เสียหาย เพื่อรับความคุ้มครองจากประกันโทรศัพท์ได้ทันที
ในกรณีนี้ ประกันโทรศัพท์จะคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การก่อจราจล การก่อเหตุร้าย รวมถึงความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดจากเหตุไม่คาดคิด
ซึ่งในส่วนของความเสียหายที่เกิดจากตัวผู้ใช้งานเอง อย่างการทำโทรศัพท์ตกน้ำ ทำโทรศัพท์หน้าจอแตก หรือเผลอทำโทรศัพท์หาย อาจต้องศึกษาจากเงื่อนไขกรมธรรม์โดยละเอียดอีกที แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ประกันจะไม่ค่อยให้ความคุ้มครองในส่วนนี้สักเท่าไหร่
ความคุ้มครองโทรศัพท์จากภัยการโจรกรรม โดยจะครอบคลุมถึงการลักเล็กขโมยน้อย และการปล้นจี้ชิงทรัพย์ที่ใช้ความรุนแรง แต่สิ่งสำคัญคือผู้เอาประกันจำเป็นต้องมีร่องรอย หรือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า โทรศัพท์หายจากการถูกชิงทรัพย์อย่างชัดเจน
คุณควรอ่านเงื่อนไข และข้อยกเว้นของประกันโทรศัพท์ให้ถี่ถ้วน เช่นเดียวกับประกันภัยประเภทอื่นๆ เนื่องจากประกันโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตเองก็มีเงื่อนไขในการสมัคร การซื้อกรมธรรม์ รวมถึงข้อยกเว้นกรณีต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียด
สำหรับ ประกันภัยโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต จะมีการกำหนดระยะเวลาในการรับประกันที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนอีกด้วย ดังนั้น ในบางครั้งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ เราจึงไม่สามารถใช้สิทธิความคุ้มครองนี้ได้
นับเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับวงเงินการคุ้มครอง และเอกสารที่ใช้ในการเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทน
ดังนั้น ผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันโทรศัพท์ควรเลือกวงเงินการคุ้มครองให้เหมาะสมกับราคาโทรศัพท์ และความเสี่ยงของเรามากที่สุด เพื่อให้ในท้ายที่สุดแล้ว คุณจะได้รับทั้งความคุ้มค่า และความคุ้มราคากลับไป
ปัจจุบันสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก สมาร์ทโฟนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ของเราไปแล้ว และเหตุผลนี้นี่เอง จึงทำให้เกิดบริการด้านการประกันภัยใหม่ๆ ขึ้นมา นั่นคือ การประกันภัยโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการประกันภัยที่ตอบสนองต่อ ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ ได้อย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะในกรณีที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน , โดนขโมย หรือสูญหาย ประกันภัยโทรศัพท์มือถือ ก็จะช่วยชำระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม หรือทำการ เปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่ หากโดนขโมย
หากถามว่าการทำประกันภัยมือถือดีอย่างไร เราก็คงตอบว่า การทำประกันภัยมือถือจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่เกิดจากอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งทำให้คุณไม่ต้องจ่ายในราคาเต็ม ยังไงล่ะคะ
ดีแบบนี้ คงอยากทำกันแล้วใช่ไหมล่ะ ฉะนั้น วันนี้เราขอแนะนำให้คุณทำประกันโทรศัพท์ผ่านทาง rabbit finance นี้เลย
rabbit finance พร้อมที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดให้แก่คุณเสมอ เมื่อไหร่ที่คุณมีคำถามเกี่ยวกับประกันภัย ผู้เชี่ยวชาญของเราก็พร้อมจะไขข้อสงสัยให้แก่คุณ นอกจากนี้เรายังเลือกใช้ระบบ Omise ที่เป็นระบบมาตรฐานสากล เพื่อเป็นตัวช่วยป้องกันให้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณไม่ให้รั่วไหลอีกด้วย สบายใจได้เลยค่ะ
โดยการคลิ๊กปุ่ม สมัคร และกรอกข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นในแบบฟอร์ม
ในขั้นตอนนี้ คุณก็แค่รอการติดต่อเพื่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย
คุณสามารถเปรียบเทียบ เลือก และซื้อแผนประกันที่ตรงตามความต้องการของคุณ
กรมธรรม์ที่คุณเลือกและ ทำการชำระเงิน จะจัดส่งให้คุณถึงที่อย่างแน่นอน